บทความ

ขนมหวานประจำชาติ 10 ประเทศ

รูปภาพ
ขนมหวานประจำชาติ พบกับหลากหลายเมนูขนมหวานประจำชาติสุดคลาสสิค เอาใจคนรักเมนูของหวาน ให้ถูกอกถูกใจ และได้ตามทานกัน แบบฟินๆ 1. Macaron (มาการอง) : ฝรั่งเศส มาการอง (Macaron) เป็นขนมหวานที่มีมายาวนานหลายร้อยปี และช่วง 5-6 ปีมานี้ ชาวปารีส และเหล่าฟู๊ดดี้ในประเทศโลกเจริญแล้ว ต่างคลั่งไคล้ หลงไหลในคุกกี้ชิ้นเล็กๆ กลมๆ 2ชิ้นประกบกัน ตรงกลางมีไส้ หน้าตาเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ รสหวาน สีสันสดใส และราคาสูงจนน่าตกใจ และปัจจุบันร้านขนมในเมืองไทยหลายร้าน เริ่มผลิตมาการองออกวางขายกันไม่น้อย เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส เสน่ห์ของ “มาการอง” ไม่ได้อยู่ที่สีสันสดใสเท่านั้น แต่ลักษณะของมาการองที่ดีต้องเริ่มตั้งแต่รูปร่างคล้ายกับโดมแบนๆ รสชาติผสานกันอย่างลงตัวระหว่างไส้ครีมกานาชกับเนื้อคุกกี้ ขนาดของส่วนสูงที่สมดุลของตัวคุกกี้ชิ้นบน และล่างที่ต้องเท่าๆ กัน รวมทั้งไส้ที่บีบให้พอดีขอบ และมองเห็นเป็นแนวเส้นเล็กๆ โดยรอบตลอดชิ้น 2. Turkish delight (เตอร์กิช ดีไลท์) : ตุรกี เตอร์กิช ดีไลท์ คือขนมหวานจากตุรกี ซึ่งคนท้องถิ่นในตุรกีเรียกกันว่าโลคุม (Lokum) เป็นขนมหวานทรงลูกเต๋าที

"Valentine’s Day"

รูปภาพ
วันวาเลนไทน์ วันวาเลนไทน์ มีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ซึ่งในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพ และเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดา แห่งอิสตรี และการแต่งงาน ในวันถัดมา คือ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของเด็กหนุ่ม และเด็กสาว ต่อมาในรัชสมัยจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่งกรุงโรม ที่มีกษัตริย์ ใจคอดุร้าย และทรงนิยม การทำสงครามนองเลือด และทรงห้ามการจัดพิธีหมั้น และแต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ขณะนั้นมีนักบุญรูปหนึ่งชื่อว่า “เซนต์วาเลนไทน์” หรือ “วาเลนตินัส” ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงโรม ได้ร่วมมือกับ เซนต์มาริอัส จัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ด้วยความปรารถนาดีของท่านนี้เอง จึงทำให้เขาถูกตัดสินประหารชีวิตโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ก่อนที่เขาจะถูกประหารชีวิตเซนต์วาเลนไทน์ ได้ตกหลุมรักหญิงสาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อว่า “จูเลีย” ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะถูกประหารชีวิตนั้น เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงจูเลีย อันเป็นที่รัก โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine”

"มันบด"

รูปภาพ
เมนูของว่างทานเล่นถูกปาก อยู่ท้อง และที่สำคัญ คือขาดไม่ได้ในเมนูสเต็ก ต้องเสิร์ฟคู่กันตลอด วันนี้จึงมาแนะนำวิธีการทำมันบดที่แสนง่าย มันบด ส่วนผสม - มันฝรั่งต้ม 3 ลูก - วิปปิ้งครีม 1/2 ถ้วย - เนยสด 1/2 ถ้วย - นมข้นจืด 1 ถ้วย - เกลือ 1 ช้อนชา - พริกไทย 1 ช้อนชา วิธีทำ 1. ต้มมันฝรั่งเสร็จแล้ว นำมาปอกเปลือก และเอาไปบด ถ้าไม่มีที่บดให้บดกับกระชอนตาถี่ก็ได้ 2. เมื่อได้มันบดละเอียดแล้ว นำมาปรุงรสด้วย วิปปิ้งครีม เนย และนมข้นจืด ส่วนผสมของนมให้ใส่ทีละน้อยๆ เพราะอาจจะทำให้มันบดเหลวเกินไป 3. เมื่อมันบดจับตัวเป็นเนื้อเนียนๆ ให้ใส่เกลือ และพริกไทยลงไป คนให้เข้ากัน #Veneziaubon #Veneziaubon #Ubonratchathani #Italianrestaurant #Reviewubon Open everyday: 16:00-00:00 phone: 082-1488889 Inbox:https://www.facebook.com/messages/t/VeneziainUbon Id line: @venezia_ubon Google Map : https://goo.gl/sNURaA

รู้จักกับ "Cheese" แต่ละชนิด

รูปภาพ
"Cheese" "Cheese" มอสซาเรลลา (Mozzarella cheese) ใช้ทำอาหาร เช่น พิซซ่า ลาซานญ่า ที่ผ่านความร้อนแล้วยืด เป็นเนื้อนุ่มๆ มอสซาเรลลาเป็นชีสประเภท Fresh cheese เป็นชีสชนิดที่กลิ่นไม่แรง เพราะไม่ได้ผ่านการบ่ม เชดดาชีส (Cheddar cheese) เป็นชีสกึ่งอ่อนกึ่งแข็ง มีรสเค็ม เชดดาชีสเป็นชีสที่ไม่ยืดเมื่อโดนความร้อน นิยมนำมาใช้ในเมนู แฮมเบอร์เกอร์ แซนวิช พาร์มีซานชีส (Parmesan cheese) เป็นชีสประเภทแข็ง กลิ่นแรงเพราะผ่านการบ่ม รสชาติเค็มมันเข้มข้น ชีสที่มีกลิ่นแรงจะมีราคาสูงกว่าชีสที่ไม่มีกลิ่น เพราะต้องใช้เวลาบ่มนาน นิยมนำมาใช้กับ พาสต้า, พิซซ่า, เฟรนส์ โทส ชีสสวิส (Swiss cheese) ลักษณะของชีสจะเป็นสีเหลืองอ่อนๆ มีรูเป็นโพรงอากาศ รูเป็นโพรงเกิดจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในการบ่มนั่นเอง บลูชีส (Blue cheese) ชีสที่มีเนื้อเป็นลวดลายสีฟ้าออกเขียวๆ ส่วนที่เป็นสีที่เกิดขึ้นมานั้นมันเป็นเชื้อรา จึงเป็นชีสที่มีกลิ่นรุนแรงที่สุด และมีรสชาติเค็ม นิยมทานคู่กับขนมปัง ไก่อบชีส หรือ ไวน์ เกาดาชีส (Gouda cheese) เนยแข็งสีเหลืองเข้มที่มีลักษณะเป็นก

Happy Halloween

รูปภาพ
" Happy Halloween " จากครั้งก่อนที่เราได้เล่าถึงเรื่องของความเป็นมา และกิจกรรมในวันฮาโลวีน คราวนี้เราจะมาพูดถึง ความหมาย ประวัติและ กิจกรรมการเล่น Trick or Treat กันครับ ความหมายฮาโลวีน และประวัติวันฮาโลวีน ในคริสต์ศาสนา นิกายคาทอลิก Halloween เป็นคำภาษาอังกฤษ ซึ่งเพี้ยนมาจากคำ All Hallows Eves ที่แปลว่า วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย โดยการตัดต่อ Hallow + Eve = Halloween คำว่า Hallow เป็นคำแองโกลแซกซัน แปลว่า ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ตรงกับภาษาเยอรมันว่า heiligen ในปัจจุบันนิยมใช้คำมาจากภาษาละตินว่า sanctify คำว่า Hallow ยังมีใช้ในบทสวดอธิษฐานเก่า ๆ เช่น Hallowed be thy Name (ขอพระนามจงเป็นที่สักการะ) คำว่า Hallow ยังแปลว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ หรือนักบุญ ดังนั้น All Hallowmas จึงแปลว่า วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ในปัจจุบันใช้คำว่า All Saints Day คู่กับ Christmas ซึ่งแปลว่า วันสมโภชพระคริสต์หรือคริสต์มาสนั่นเอง วันก่อนวันสมโภชคริสต์มาสมี Christmas Eve ที่นิยมเรียกว่า คืน (ก่อน) คริสต์มาส วันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายก็มี All Hallowmas Eve ซึ่งต่อ

" เนื้อแกะ Lamb "

รูปภาพ
“ เนื้อแกะ Lamb ” แกะมีอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ ซึ่งส่วนมากเป็นแกะพันธุ์พื้นเมืองที่มีขนาดเล็ก (น้ำหนัก 20-30 กก.) โดยเลี้ยงเพื่อบริโภคเนื้อเป็นหลัก แต่เมื่อพูดถึง “ เนื้อแกะ ” ก็ต้องนึกถึง เนื้อแกะนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแกะที่ถูกเลี้ยงให้วิ่งในทุ่งกว้าง ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ ที่แสนสบาย ว่ากันว่าแกะที่แข็งแรง จะมีปริมาณโอเมก้าสูงพอ ๆ กับเนื้อปลาทะเล ในน้ำหนักเท่า ๆ กัน เนื้อแกะ เป็นเนื้อที่มีธาตุเหล็ก สูงกว่า เนื้อหมู และเนื้อวัว และถือว่าเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มเติมประเภทของโปรตีนกับร่างกายให้หลากหลายมากขึ้น โดยเนื้อแกะจะให้วิตามิน B-6 และ B-12 รวมถึง ธาตุเหล็ก สูง (มีวิตามิน B-6 5%, B-12 43% และธาตุเหล็ก 10% ข้อมูลจาก USDA) โดย ทางยุโรป และ ออสเตรเลีย เป็นจุดกำเนิดของ “เมนูเนื้อแกะ” เนื้อแกะที่นำไปทำอาหารมี 2 แบบ คือ เนื้อลูกแกะ (Lamb) และ เนื้อแกะ (Mutton) มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอนเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังต่อจากนี้ ส่วนที่สามารถกินได้ในแกะหนึ่งตัว ได้แก่ สันเอว, ขาหลัง, สะโพก, ซี่โครง, ไหล่, ขาหน้า, อก และคอ โดยในแต่ละส่วนก็มีความพิเศษแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าคุ

วันฮาโลวีน (Halloween)

รูปภาพ
" วันฮาโลวีน (Halloween) " วันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปีหลายคนรู้ว่าสัญลักษณ์ประจำวันฮาโลวีนต้องมีปาร์ตี้แต่งกายชุดภูตผีปีศาจ และต้องมีฟักทองเจาะหน้าตาแปลกๆ เรามักจะคุ้นเคยเรียกกันเป็นภาษาปากว่า วันปล่อยผี ในวันดังกล่าวมักมีการจัดตกแต่งบ้านเรือน ร้านค้า โดยใช้ฟักทองที่คว้านเป็นรูปผี หรือใช้วัสดุอื่น ๆ ประดิษฐ์เป็นตัวผีหรือทำให้มีหน้าตาเป็นผีเพื่อสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นงานรื่นเริง แต่ทราบหรือไม่ว่า ประวัติฮาโลวีน มีความเป็นมาอย่างไร ? ฮาโลวีน (: Halloween, เสียงอ่าน ซึ่งมาจากคำว่า All Hallows Eves เป็นเทศกาลประจำปีเฉลิมฉลองในหลายประเทศทุกวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันก่อนวันสมโภชนักบุญทั้งหลายของศาสนาคริสต์ตะวันตกออลแฮโลวส์อีฟ (All Hallows' Eve) เป็นวันสมโภชที่ศาสนาคริสต์รับมาซึ่งเดิมได้รับอิทธิพลจากเทศกาลเก็บเกี่ยวของเคลต์ โดยอาจมีเหง้าเพเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซาวิน (Samhain) ของชาวเกล (Gaels) นักวิชาการบางส่วนยังยืนยันว่า ฮาโลวีนกำเนิดขึ้นแยกกับซาวินและมีเหง้าศาสนาคริสต์อย่างเดียว ความเป็นมาของวันฮาโลวีน วันฮาโลวีนของทุกปี จะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม เชื่อว่าม